วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

การดูแลเส้นผมหลังทำสี ให้สีผมสวยและสุขภาพดี

อย่างที่เคยกริ่นเอาไว้ในบล๊อคที่แล้ว ว่านัตตี้จะมาพูดถึุงกันเกี่ยวกับเรื่องการดูแลเส้นผมหลังทำสีกัน
การมีสีผมที่สวยนั้นต้องมาคู่กับกับสภาพเส้นผมที่ดีด้วย จะมาสีผมสวยแต่ผมแห้งกรอบมากๆอันนี้มันก็ดูแย่มากกว่าสวยนะจ๊ะ จะมีขั้นตอนอย่างไรบ้างนั้นอ่านต่อจากนี้เลยจ๊ะ

เรามาเริ่มกันที่อย่างแรกกันดีกว่านั้นก็คือ แชมพูนั้นเอง สำหรับการสระผมหลังจากทำสีนั้นควรทิ้งระยะห่างอยู่ที่ 48 ชั่วโมงหรือ 2 วันนั้นเอง(นานกว่านั้นก็ได้นะ แต่หัวอาจจะเน่าซะก่อน -..-)

สำหรับแชมพูนั้น ส่วนตัวนัตตี้เองไม่ค่อยเจาะจงมากสักเท่าไหร่ เลือกเอาที่ตามสภาพเส้นผมและหนังศีรษะของเราในช่วงนั้นๆจะดีกว่า หรือถ้าใครต้องการจะดูแลสีผมเป็นพิเศษ ก็ควรที่ใช้แชมพูสำหรับผมทำสีโดยเฉพาะ แชมพูสำหรับผมทำสีนั้นให้เลือกที่ Sulfat-free เพราะตัวซัลเฟตนั้นเป็นสารทำความสะอาดที่จะไปชะล้างทำให้สีผมของเราหลุดเร็วขึ้นนั้นเอง ส่วนแชมพูที่โฆษณาว่ามีสารบำรุงนู้นนี่นั่น อันนี้นัตตี้ขอบอกเลยว่าอย่าไปเชื่อนัก เพราะแชมพูนั้นมีแค่หน้าที่ในการทำความสะอาดเส้มผมของเราแค่นั้น สารบำรุงที่ใส่มานั้นยังไม่ทันบำรุงถึงไหนเลยเราก็ต้องล้างออกแล้ว


หลังจากที่เราสระผมเรียบร้อยแล้วก็มาถึงในส่วนของขั้นตอนการบำรุงกันแล้ว หลังจากที่เราทำสีผมนั้นสิ่งที่จะเห็นได้ชัดเจนเลยนั้นก็คือ ปลายผมของเราจะแห้งถึงแห้งมาก แล้วแต่ตามสภาพ
เราจะใช้แค่ Conditioner หรือครีมนวดผมนั้นไม่พอแน่ๆ เพราะคอนดิชั่นเนอร์นั้นมีหน้าที่แค่เคลือบเส้นผมให้ผมลื่นเท่านั้น เพราะหลังจากเราสระผมชะล้างน้ำมันบนเส้นผมออกไป ผมของเราก็จะฝืดขึ้น ตัวคอนดิชั่นเนอร์เนี้ยแหละที่จะมาช่วยให้เส้นผมของเรานั้นลื่นขึ้นนั้นเอง

โดยส่วนตัวแล้วนัตตี้เลืิอกใช้ Treatment แทน Conditioner ทุกครั้งไปเลย เพราะตัวทรีทเมนต์นั้นจะเข้มข้นกว่าและมีสารบำรุงที่มากกว่านั้นเอง แต่ตัวทรีทเมนต์จะมีความหนักของเนื้อผลิตภัณฑ์ค่อนข้างมากแล้วดังนั้นสำหรับคนที่สภาพหนังศีรษะมันอยู่แล้วอย่างนัีตตี้ การจะใช้ทรีทเมนต์ชโลมทุกครั้งหนังศีรษะก็คงมันแย่ ดังนั้นเราถึงชโลมทรีทเมนต์เฉพาะส่วนที่ผมของเราแห้งมาก นั้นก็คือ ช่วงกลางถึงปลายผมนั้นเอง(สำหรับคนผมยาวเลยบ่าไปนะ)

ทรีทเมนต์ที่นัตตี้ใช้ช่วงนี้และราคาถูกดีนั้นก็คือ L'OREAL Professional Hair Spa Nourishing Creamebath นั้นเอง ตัวนี้มี 2 แบบนะ จุดสีเหลืองสำหรับผมแห้งและอ่อนแล ส่วนจุดสีส้มสำหรับผมแห้งเสียมากและอ่อนแอมาก สามารถหาซื้อได้ตามร้านอุปกรณ์ทำผมต่างๆ นัตตี้เชื่อว่ามีทุกร้าน เพราะมันเป็นตัวที่ยอดฮิตมากๆ
แต่ตัวนี้เขาจะแนะนำให้ใช้คู่กับการอบไอน้ำด้วยจะได้ผลดีมากๆ เดี๋ยวเราจะพูดถึงการอบไอน้ำอีกทีนะ


อย่างที่บอกว่าเราใช้แทนครีมนวดผมวิธีการใช้ก็ง่ายๆ ชโลมทรีทเมนต์ช่วงกลางถึงปลายผม แล้วทิ้งไว้อย่างน้อย 5 นาทีแล้วล้างออก หรือถ้ามีเวลามากกว่านั้นก็ทิ้งไว้ 15-30 นาทีก็ได้

ทรีทเมนต์อีกประเภทที่ขอพูดถึงหน่อย เพราะว่าช่วงนี้ใช้บ่อย นั้นก็คือประเภทที่เป็นทรีทเมนต์ที่ช่วยบำรุงเส้นผมและเป็นแว๊กซ์เคลือบสีผมนั้นเอง เคยพูดถึงการใช้ไปในบล๊อคที่แล้ว
ทรีทเมนต์ประเภทนี้เหมาะมากๆสำหรับใครที่ทำสีผมประหลาด คือ ไม่ใช่ดำ น้ำตาล น้ำตาลทองอะไรพวกนี้
แต่เป็นแดง ชมพู ม่วง เขียว สีอะไรที่น้อยคนนักจะทำ ฮ่าๆ
ตัวนี้จะช่วยบำรุงพร้อมเคลือบสีผมของเราไปด้วยในตัว มีสีให้เราเลือกเยอะแยะมากมาย หรือจะใช้แทนครีมเปลี่ยนสีผมก็ได้ แต่สีผมเดิมของเรานั้นต้องเป็นสีอ่อนมากอย่างบลอนด์ทอง สีถึงจะติด
ตัวที่นัตตี้ใช้คือ ERC Treatment Hair Color Cream ตัวนี้ก็หาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์ทำผมต่างๆอีกเช่นเดียวกัน


วิธีการใช้ก็แค่ใช้หลังสระ เช็ดผมให้หมาด ชโลมทรีทเมนต์ให้ทั่ว แล้วใช้มือขยี้เพื่อให้ซึมเข้าเส้นผม ทิ้งไว้ 20-30นาทีแล้วล้างออก
แต่สีของทรีทเมนต์ประเภทนี้จะอยู่ได้ไม่นานเพราะมันแค่เคลือบไว้ แต่เราก็สามารถใช้ได้บ่อยอีกเช่นเดียวกัน


มาถึงในส่วนของตัวบำรุงหลังสระก็จะมีหลายรูปแบบทั้ง Serum, Leave on เยอะแยะมากมายแล้วแต่จะเรียก แต่หน้าที่หลักๆนั้นก็คือการบำรุงหลังสระ และช่วยปิดเกล็ดผมอีกชั้นนั้นเอง

ลีฟออนที่นัตตี้ใช้อยู่ก็จะมี Milano Solution For Damage Hair ตัวนี้เหมาะมากๆหลังจากที่เพิ่งทำสี ตัวนี้จะช่วยบำรุงผมที่แห้งเสียมากๆจากการทำเคมีได้ดี


ส่วนเซรั่มที่นัตตี้ใช้ก็จะเป็น Milano Gold Silk เป็นเซรั่ม Argan Oil นัตตี้ชอบใช้เซรั่มที่เป็นออยล์นะ เพราะเราเป็นคนผมเส้นใหญ่แล้วใช้ออยล์แล้วปลายผมเรียบลื่นดี


วิธีการใช้ 2 ตัวนี้ นัตตี้จะใส่ตัว Solution ในขณะผมหมาดก่อนไดร์ผม ช่วงกลางถึงปลายผม พอหลังจากไดร์ผมเสร็จก็จะใส่ตัว Gold Silk ช่วงปลายผมเพื่อปิดเกล็ดผมนั้นเอง หรือจะใส่ตัวใดตัวหนึ่งทั้งก่อนและหลังไดร์ก็ได้ไม่มีปัญหานะ แต่นัตตี้มีทั้งสองตัวก็เลยใส่ๆไป ฮ่าๆ

มาพูดถึงการอบไอน้ำกันบ้างดีกว่า หลายคนถ้าผมเสียมากๆก็จะนึกถึงการอบไอน้่ำขึ้นมา นั้นก็ถูกนะไม่ใช่ไม่ถูก แต่สำหรับคนผมทำสีแล้วการอบไอน้ำสามารถทำได้แต่มีข้อควรระวังอยู่นิดนึง
การอบไอน้ำนั้นจะเป็นการใช้ความร้อนเปิดเกล็ดผม เพื่อให้ทรีทเมนต์ต่างๆนั้นบำรุงได้ล้ำลึกเข้าไปถึงแกนผม


แต่สำหรับคนที่เพิ่งทำสีผมนั้น เกล็ดผมของเราจะเปิดอยู่แล้ว การที่เราอบไอน้ำโดยใช้ความร้อนเปิดเกล็ดผม ผมของเรานั้นก็จะยิ่งเสียเข้าไปใหญ่ ทรีทเมนต์ที่ลงไปนั้นก็คงช่วยไม่ได้มาก
แนะนำว่าถ้าอยากอบไอน้ำสามารถทำได้ แต่ควรหลังจากการทำสีผมไปแล้วอย่างน้อย 1-2 อาทิตย์ เพื่อให้เกล็ดผมของเราปิดสนิทไปก่อน ระหว่างนั้นก็บำรุงตามข้างบนที่บอกไป

การใช้ความร้อนอันนี้ก็สำคัญ ความร้อนจะเป็นตัวทำให้สีผมของเราซีดจางและเส้นผมของเรานั้นแห้งมากขึ้นไปอีก ความร้อนไม่ว่าจากการจัดแต่งทรงใดๆก็สามารถทำให้เส้นผมของเราเสียได้ทั้งนั้น สำหรับนัตตี้แล้วช่วงอาทิตย์แรกหลังทำสีผม จะพยายามไม่ใช้ความร้อนใดๆกับเส้นผม เพราะอย่างที่บอกไปเมื่อกี้เกล็ดผมของเราเปิดอยู่แล้ว การยิ่งใช้ความร้อนเกล็ดผมก็จะยิ่งเปิดผมก็จะยิ่งเสียไปกันใหญ่


การไดร์ผมถ้าเลี่ยงได้ก็ใช้พัดผมเบาหัวไปแทน (โปราณสุดๆอ่ะ) แต่ถ้าจำเป็นหรือไม่ไหวจริงๆจะต้องไดร์ผม นัตตี้แนะนำให้ไดร์แค่ช่วงบนถึงกลางพอ และัไดร์แค่พอแห้ง 80% ที่เหลือก็ปล่อยให้แห้งเองตามธรรมชาติดีกว่า เว้นช่วงปลายผมที่แห้งมากๆไว้จะดีกว่า

หรือถ้าจำเป็นจริงๆ(อีกแล้ว) ก็ฉันอยากสวยอ่ะ อยากจะม้วนอยากจะหนีบให้ผมเราดูสวยเก๋ไปข้างนอกบ้าง ก็ต้องใส่ตัว Heat Protection หรือตัวกันความร้อนก่้อนจัดแต่งทรงทุกครั้ง ไม่ว่าสภาพเส้นผมของเราจะเป็นอย่างไรก็ตาม ตัวกันความร้อนเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆสำหรับการใช้ความร้อนกับเส้นผม
ตัวที่นัตตี้ใช้อยู่ก็คือ Tresemme Thermal Creations Heat Tamer Protective Spray


ตัวกันความร้อนจริงๆแล้วมีหลากหลายประเภทมากๆ อันนี้นัตตี้ไม่อยากเจาะจง มีทั้งแบบสเปรย์ ครีม หรือเป็นมูสในการจัดแต่งทรงและกันความร้อนไปด้วยในตัวก็มี เอาเป็นว่าเลืิอกตามแต่การจัดแต่งทรงนั้นๆของเราแล้วกัน เอาตามชอบเลย

ก็หมดแล้วกับการการดูแลเส้นผมหลังทำสีจากประสบการณ์ของนัตตี้เองล้วนๆ
ก็หวังว่าทุกๆคนจะได้ประโยชน์กันไม่มากก็น้อย สีผมสวยและสุขภาพผมต้องดีด้วยนะจ๊ะ บ๊ายบายจ้า ^^

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

Dip Dye Hair ทำเองก็ได้ง่ายจัง

ถ้าหลายๆคนติดตามนัตตี้ในเพจก็คงจะเห็นสีผมล่าสุดของนัตตี้กันแล้ว นั้นก็คือ Dip Dye Hair หรือการทำสี
แค่ช่วงปลายผมนั้นเอง

สำหรับนัตตี้เลือกเป็นสีแดง เนื่องจากว่าสีผมเราดำแล้วตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้ว ก็เลยเลือกสีแดง
เพราะมันเป็นสีที่แรงและเด่นดี ฮ่าๆ

สำหรับผลิตภัณฑ์ที่นัตตี้เลือกใช้ในการทำครั้งนี้นั้นก็คือ ผงฟอกสีผมของ D Cash สีแดงเลย
ราคาแค่ 35บาทเอง พร้อมไฮเปอร์ครีม 12%

(ขออภัยรูปมาจาก Google นะค่ะ ตอนทำไม่ได้ถ่ายไว้)

ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ผลที่ออกมาได้แดงสะใจดี แต่ 2 ข้างไม่เท่ากันซะงั้น ฮ่าๆ
เราเลยไม่ยอมกัดอีกรอบไปเลย คราวนี้ทิ้งไว้แค่ 20 นาทีพอ
ผลออกมาแดงสมใจ สีเท่ากันเป๊ะ แต่ผมแห้งมากกกกกกกกกก


เรื่องผมแห้งเสียนี่เราทำใจไว้อยู่แล้ว เพราะการกัดสีผมยังไำงก็ต้องแห้งเสียอยู่แ้ล้ว
แล้วช่วงปลายผมเป็นส่วนที่แห้งที่สุดอยู่แล้วด้วย ไว้ค่อยมาบำรุงทีหลังแล้วกันเนอะ

หลังจากนั้น 1 อาทิตย์สีผมจากแดง ก็ค่อยๆหลุดเรื่อยๆ กลายมาเป็นแดงที่ออกไปทางส้มซะงั้น


ซึ่งเป็นเรื่องปกตินะ เพราะหลังจากกัดสีผมแล้วเราควรที่จะทำสีต่อเลย แต่เนื่องจากว่าผมมันแห้งมากกกกก
นัตตี้เลยขอพักเพื่อบำรุงก่อนสัก 1 อาทิตย์ค่อยเติมสีแล้วกัน

และแล้วก็มีพี่ใจดีส่ง ERC Treatment Hair Color Cream สีชมพูมาให้ลองเล่น
นัตตี้ก็ไม่รอช้าจ๊ะ ในเมื่อครบ 1 อาทิตย์พอดีก็จัดเลย


วิธีการทำก็ง่ายมากกกก มันก็คือเป็นทรีทเมนต์ที่ช่วยบำรุงเส้นผม แล้วก็เป็นแว๊กซ์เคลือบสีผมไปด้วยในตัว
ลงไปในบริเวณที่เราต้องการ แล้วก็ขยี้ๆให้มันซึมลงไป ทิ้งไว้ 20-30นาที


และด้วยความมักง่ายของนัตตี้ หาถุงมือพลาสติกไม่เจอ ก็ใช้มือเนี้ยแหละลงไปเลย
ผลปรากฎว่า มือชมพูอลังการมาก เล็บจากสีนู้ดกลายเป็นสีชมพูไปเลย สีเข้มจริงอะไรจริงพวกนี้


ผลที่ได้ก็ออกเป็นแดงชมพูหน่อยๆ หลายคนทักว่าสวยดีเหมือนกัน


สภาพเส้นผมไม่แห้งเหมือนคราวกัดสีเพราะเหมือนเราบำรุงและเคลือบสีแค่นั้นเอง
สีอาจจะหลุดได้อีกเรื่อยๆเป็นธรรมดา แต่เราก็สามารถใช้ทรีทเมนต์ประเภทนี้ทำได้เรื่อยๆเลย ดีจัง ♥

สรุปแล้วการทำ Dip Dye Hair ในครั้งนี้ชอบนะ ชอบมาก แดงแรงสมใจดี นัตตี้เองก็อยากทำมานานแล้วด้วย
ในเมื่อมีโอกาสทำแล้วก็ทำเลยไม่รอช้า แต่ก็ต้องยอมรับกับสภาพเส้นผลหลังทำด้วยนะ อันนี้พร้อมรับอยู่แล้ว แต่ถ้าเราไม่อยากผมเสียมาก นัตตี้แนะนำให้ไปทำร้านดีๆนะ แต่ขอบอกเลยว่าไม่ต่ำกว่า 2,000 บาทนะจ๊ะ
ถามว่าถ้าเกิดเบื่อแล้วจะทำอย่างไร ถ้าเป็นนัตตี้นะนัตตี้คงตัดออกเลย ขี้เกียจมานั่งย้อมดำกลับแล้วบำรุงอีกทีมันเหนื่อยนะ เอาเป็นว่าขอสีผมแรงๆแบบนี้ไปก่อนสักพักแล้วกันเนอะ ♥

เดี๋ยวบล๊อคหน้านัตตี้จะมาบอกถึงวิธีการดูแลเส้นผมหลังทำสีแล้วให้แล้วกันนะจ๊ะ บ๊ายบายจ้า ^^

วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

รีวิว Watsons Green Tea Balancing Cleansing Oil

บล็อคนี้เราจะมารีวิวคลีนซิ่งออยล์ยี่ห้อหนึ่งที่หลายคนอาจจะเคยเห็นไปแล้วในเห่อช้อปปิ้งเดือนเกิด
นั้นคือ Watsons Green Tea Balancing Cleansing Oil นั้นเอง จริงๆแล้วคลีนซิ่งออยล์ของวัตสันนอกจากสูตรที่เป็นชาเขียวแล้วก็ยังมีลาเวนเดอร์อีกด้วย แต่ที่นัตตี้เลือกสูตรนี้มาเพราะเขาเคลมว่าเหมาะกับคนหน้ามัน


ด้านข้างกล่องมีบอกสรรพคุณพร้อมวิธีใช้ด้วย แต่เป็นภาษาอังกฤษนะจ๊ะ


มาถึงด้านหลังฉลากภาษาไทยกันบ้าง


ส่วนผสมกันแบบชัดๆ


เปิดกล่องออกมาก มีกระดาษแข็งครอบช่วงคอขวดไว้ไม่ให้ขวดกลิ้งไปมาในกล่อง


ลักษณะขวดเป็นทรงกลม เรียวยาว สีเขียวใส คล้ายแบรนด์ดังยี่ห้อหนึ่งมาก


ลักษณะของเนื้อออยล์เป็นออยล์ใสไม่มีสีใดๆ ได้กลิ่นของชาเขียวชัดเจนมาก


มาถึงความรู้สึกหลังใช้มาอย่างน้อย 1 อาทิตย์กันบ้างดีกว่า
ความรู้สึกแรกอย่างที่บอกไปแล้วคือกลิ่น ได้กลิ่นของชาเขียวชัดเจนมากๆ ฉันชอบ ♥
เนื้อของออยล์ฺนั้นบางเบาไม่มีความหนืดเลย
พอเรานวดวนไปที่ใบหน้าแล้วนั้นไม่รู้สึกเหนอะหนะสักนิด(แต่ก็มันๆตามสไตล์ออยล์)
สามารถนวดวนบริเวณรอบดวงตาได้อย่างไม่รู้สึกแสบตาใดๆ(บางยี่ห้อนี่เคืองตาสุดฤทธิ์อ่ะ)
หลังจากพรมน้ำเล็กน้อยแล้วนวดต่อให้ออยล์เป็นน้ำนม เราจะยังรู้สึกถึงความลื่นของออยล์อยู่ชัดเจน
พอเริ่มล้างออกด้วยน้ำเปล่าแล้ว ก็ยังรู้สึกถึงความลื่นของออยล์อยู่ทำให้เราต้องล้างน้ำหลายรอบหน่อย
*แนะนำว่าควรล้างออกด้วยน้ำอุ่นจะชำระล้างความมันออกได้หมดจด*
หลังจากล้างออยล์จนเกลี้ยงแล้ว ก็ตามด้วยคลีนเซอร์ที่คุณใช้ปกติทุกครั้งนะจ๊ะ

ขอเป็นรูปท้องแขนแทนแล้วกันนะ ไม่พร้อมพลีชีพด้วยหน้าจริง ฮ่าๆ

สรุปแล้วถามว่าออยล์ตัวนี้เป็นยังไงนัตตี้ชอบอยู่นะ ด้วยกลิ่นชาเขียวที่ชัดเจนและยังสามารถล้างรอบดวงตาได้โดยที่ไม่แสบตาใดๆ(แต่ระวังเข้าตาไว้ด้วยก็ดี) และเนื้อออยล์ไม่หนืดจนเกินไป

ข้อดี
กลิ่นหอมชาเขียว (อันนี้แล้วแต่คนชอบนะ)
ล้างได้สะอาดหมดจด แม้กระทั่งรอบดวงตาโดยไม่รู้สึกระคายเคือง
เนื้อออยล์ไม่หนืดหรือเหนอะหนะจนเกินไป
ราคาถูก

ข้อเสีย
เนื้อออยล์ไม่หนืดก็จริงแต่ก็ยังมีความลื่นอยู่มาก ต้องล้างน้ำหลายรอบกว่าจะหมด
มี Mineral Oil

สามารถหาซื้อได้ที่ร้าน Watson ทุกสาขา ขนาด 150 ml. ราคา 350 บาท
แต่นัตตี้ซื้อตอนโปรโมชั่นเหลือ 175 บาทเอง ^^

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

วิธีดูยาทาเล็บ OPI ของแท้ ดูตรงไหน???

ถ้าหลายๆคนติดตามนัตตี้ในช่อง Youtube มาโดยตลอดก็จะเห็นว่านัตตี้ปลาบปลื้มกับยาทาเล็บอยู่หนึ่งยี่ห้อ
นั้นก็คือ OPI นั้นเอง บล็อคนี้นัตตี้เลยอยากจะมาแชร์วิธีการดู OPI ของแท้ว่าต้องดูในจุดไหนบ้าง
เผื่อใครสนใจอยากจะมีในครอบครองบ้างจะได้ไม่พลาดกันนะจ๊ะ


สำหรับแบรนด์ OPI นั้นเป็นแบรนด์ที่นิยมมากๆจากสหรัฐอเมริกาหรือ USA นั้นเองที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1981
คุณภาพหรือความดังทั้งหลายของแบรนด์นั้นขอข้ามนะ เพราะเชื่อว่าถ้าคุณๆนั้นชอบการทาเล็บคงรู้จักกันดี

เรามาดูที่หน้าขวดกันดีกว่า หน้าขวดนั้นก็จะมีเขียนคำว่า OPI Nail Lacquer 
อันนี้สำคัญขนาดจะเขียน 15mL - 0.5 Fl. Oz e เท่านั้น
ตัวหนังสือจะเป็นตัวพิมพ์นูน เอานิ้วหรืออะไรไปขูดจะไม่ออก และเป็นตัวพิมพ์สีดำเท่านั้นนะจ๊ะ


ด้านหลังจะมีทั้งหมด 4 สัญลักษณ์ แต่เคยเห็นมาว่ารุ่นก่อนๆมีแค่ 3 สัญลักษณ์
และที่สำคัญ Made in USA นะจ๊ะ


เรามาดูที่ด้านจับกันบ้างดีกว่า ด้านบนของด้ามจับจะเป็นเอกลักษณ์และตอนนี้แทบทุกแบรนด์ก็ทำอย่างนี้หมด
นั้นก็คือจะมีตัวปั๊มนู้นเขียนว่า OPI และมีจุดอยู่ตรงกลางตัว P ทุกขวด


ตัวด้านจับจะเป็นสีดำสนิท บางรุ่นจะเป็นพื้นผิวเรียบ(ด้านซ้าย) หรือบางรุ่นก็จะมีพื้นผิวที่สากเล็กน้อย(ด้านขวา)
ในส่วนนี้นัตตี้เองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร อาจจะเป็นรุ่นและสีเก่าๆที่เป็นแบบเรียบนะ
เพราะเท่าที่สังเกตุรุ่นใหม่ๆจะเป็นแบบสากหมดแล้ว


มาถึงด้านในของด้านจับ จะมีตัวฟันเลื่อย(เรียกถูกหรือเปล่า)อยู่ด้านล่างของเกลียวหมุน


มาถึงในส่วนของแปรงทาอันนี้เป็นเอกลักษณ์มากๆ จะมีตัวหนังสือเขียนว่า OPI(กรอบสีแดง)อยู่ทุกขวด
ตัวขนแปรงจะกว้างและแบนกำลังเหมาะ ทำให้ทาได้ง่ายนั้นเอง


มาถึงก้นขวดนั้นสำคัญมากๆ จะมีสติ๊กเกอร์สีขาวตัวหนังสือสีเขียนแปะอยู่(รุ่นปกติ)
แต่ถ้าเป็นรุ่น Suede จะเป็นสีน้ำตาลหรือรุ่น Matte จะเป็นสีม่วงน้ำเงิน
ทุกขวดจะมีชื่อสีแล้วตามด้วยรหัสสี เช่น NL M41
ซึ่งชื่อสีและรหัสจะต้องตรงกัน สามา่รถเช็คได้ในเว็บ www.opi.com
และจะต้องมีเลขรหัสที่เป็นปั๊ม 5 ตัว ตามด้วยอักษรอีก 3 ตัว(ซ้าย)
เลขและตัวอักษรรวมกัน 8 ตัวจะต้องตรงกับตัวพิมพ์ที่ขวดเป๊ะๆตามรูป (ขวา)
เลขรหัสที่ขวดสามารถลอกหรือจางออกได้


แต่ก็จะมีบางรุ่นบางล๊อต(อันนี้ไม่มีข้อมูลว่าทำไม)
จะมีเพิ่มตัวเลขแถวล่างอีก 9 ตัว ที่จะต้องตรงกับด้ามจับเป๊ะๆ (ขวา)
*ด้านล่างของสติ๊กเกอร์ตรง PEEL HERE สามารถแกะออกได้
จะมี Ingredient ชื่อสีและรหัสสี(ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ ขอโทษนะ)


ในส่วนของกลิ่นก็จะมีกลิ่นอยู่นะ แต่จะกลิ่นไม่แรงเหมือนพวกยาทาเล็บราคาถูก ต้องลองดมดูแล้วจะรู้
มีลูกบอลเล็กๆในขวดจะต้องมี 2 ลูกเท่านั้น ลองเขย่าดูจะรู้
และอีกอย่างที่สำคัญนั้นก็คือเรื่องของราคาค่ะ ถ้าในบ้านเราที่ขายกันอยู่ตามอินเตอร์เน็ตก็จะอยู่ที่ 280บาท
ขึ้นไปนะเท่าที่เจอแล้วแต่รุ่นด้วย ถ้าไปเจอราคาต่ำกว่านี้ก็เดาได้เลยว่าปลอมแน่ๆ
อีกที่หนึ่งที่นัตตี้เคยไปดูและค่อนข้างมั่นใจว่าแท้ก็คือร้าน Eveandboy ที่สยามสแควร์(ไม่ได้ค่าอวยนะ)
แต่ราคาจะแพงกว่าพวกร้านในอินเตอร์เน็ตที่นัตตี้ซื้อประจำสักหน่อย
ยังไงก็ไปลองดูได้ มีชาร์ตสีและเล็บปลอมให้เราลองทาบดูด้วย

ลองไปเทียบดูกันตามที่นัตตี้บอกแล้วกัน นัตตี้เองก็ไม่แน่ใจว่าตอนนี้มีอะไรหรือจุดไหนที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง
ไงก็หวังว่าบล๊อคนี้จะมีประโยชน์สำหรับคนที่สนใจ OPI กันนะจ๊ะขอบคุณที่ติดตามค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

เห่อจัดหนักช้อปปิ้งเดือนเกิด 2013

เป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้วในเกือบทุกปีกับการเปิดถุงช้อปปิ้งในรอบเดือนสิงหาคม
หรือเดือนเกิดของนัตตี้ว่าซื้ออะไรไปบ้าง ปล.ทั้งหมดนี้ของพูดถึงแต่ของใหม่และน่าสนใจและมีแต่คนถามถึงนะค่ะ



มาเริ่มที่หมวดแรกที่ราคาถูกและหาซื้อง่ายกันดีกว่านะจ๊ะ
1.Reven Bath Konjac Sponge
ฟองน้ำล้างหน้าจากธรรมชาติ ทำมาจากใยบุก นิยมมากๆในญี่ปุ่นหรือเกาหลี ซื้อมาใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เลย
นัตตี้ซื้อร้าน Lashes สาขาสีลมคอมเพล็ค สีขาว 139 สีดำผสมถ่าน 149 บาทจ๊ะ


2.Skinoren
ตัวนี้เคยพูดถึงไปแล้วในคลิปประสบการณ์สวยสู้สิว และมีคนถามมาว่าเราซื้อเท่าไหร่(ในคลิปนั้นก็พูดไปแล้วนะ) แต่ล่าสุดที่ไปซื้อราคามีการเปลี่ยนแปลง แต่ก่อนนัตตี้ซื้อร้านจุฬาเภสัช 325 บาท ตอนนี้ขึ้นราคาเป็น 370 บาท
อันนี้ต้องหาดูตามร้านขายยาใหญ่ๆถึงจะได้ราคาถูกนะ


3.Batiste Dry Shampoo
ดายแชมพูสุดฮิตที่เพิ่งนำเข้ามาในไทย จริงๆนัตตี้อยากได้มาตั้งแต่ตอนลงหนังสือตั้งแต่เดือนกรกฏาคมแล้ว กลิ่นของนัตตี้คือ Seductive & Elegant Lace เป็นกลิ่นออก Flora ล้วนๆ แต่กลิ่นนี้มีขายเฉพาะที่ Boots เท่านั้น ตอนนี้มีบริษัทนำเข้ามาแล้วโปรโมทมากที่สุดก็จะขายที่ Watson แต่จริงๆแล้วที่ Boots เองก็มีขายเหมือนกันแต่ไม่ได้โปรโมทเท่านั้นเอง ถามว่ามันแตกต่างกันไหมก็ไม่ได้มีความแตกต่างกัน
แตกต่างกันแค่กลิ่นเท่านั้นเอง ราคาเต็ม 250 ซื้อตอนลดเหลือ 220 บาทจ้า


4.Soap & Glory Hand Food / Heel Genius
ครีมทามือและครีมทาส้นเท้าจากแบรนด์ Soap & Glory ที่นัตตี้อยากได้มานานแล้ว
เพราะไปดูกูรูเมืองนอกเค้าก็พูดถึงกันค่อนข้างเยอะ แต่เราก็รอให้ถึงโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1
อันนี้นัตตี้ซื้อมาในราคา 295 บาทเท่านั้นเอง ได้สองหลอดเพราะราคาเท่ากัน


5.Watsons Green Tea Balancing Cleansing Oil
ซื้อเพราะโปรโมชั่นจริงๆ ราคาเต็ม 350 ลดเหลือแค่ 175 บาทก็หยิบอย่างไม่ต้องคิด
แต่ค่อนข้างหายากเพราะมันลดเยอะเลยมีเหลือแค่บางสาขาเท่านั้น


6.Maybelline Bold Matte #Mat 6
นัตตี้มี Mat7 ในครอบครองตั้งแต่เดือนก่อนๆแล้ว แต่พอได้ลองสีนี้แล้วมันใช่จริงๆ สีแดงก่ำๆที่สวยมากๆ เหมาะกับเทรนด Fall-Winter นี้มากๆ เนื้อลิปก็ดีแมทแต่ก็ไม่ได้แห้งจนเกินไป
ซื้อตอนลดราคาเหลือ 199 บาทเอง ราคาเต็ม 299


7.Cezanne Uv Face Powder N #3
เนื่องจากใช้แป้งม้าโยกมาจนเบื่อแล้ว เลยซื้ออันนี้มาลองเล่นดู แต่กลับชอบมากซะงั้น
ทั้งโทนสีที่เข้มเหมือนแป้งผสมรองพื้นของแบรนด์ และเนื้อออกแมทคุมมันโอเค ใช้เซ็ตรองพื้นได้สวย
ราคาจำไม่ได้แน่ชัดประมาณ 300 กว่าๆ ซื้อที่ Eveandboy นะจ๊ะ


หมวดที่สองมาในกลุ่มราคาที่แพงขึ้นและหาซื้อยากขึ้นมาอีกดีกว่า
8.Paula's Choice Skin Perfecting 2% BHA Liquid
อันนี้เป็นอีกหนึ่งตัวที่ใช้มาตลอดและขาดไม่ได้ใช้มา 2-3ปีแล้ว เคยพูดไปในแล้วคลิปประสบการณ์สวยสู้สิวอีกเช่นเดียวกัน มีคนถามว่ามีปลอมไหมอันนี้นัตตี้เองก็ยังไม่เคยเจอนะแต่คาดว่าไม่น่าจะมี
เพราะนำเข้ามาอย่างถูกต้องไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ราคาประมาณ 700 กว่าบาทแล้วแต่ร้าน


9.Aubrey Organics Green Tea Clarifying Shampoo
GPB Glycogen Protein Balancing Conditioner
ผลิตภัณฑ์บำรุงผมออแกนิคจาก USA ที่มีบริษัทนำเข้ามาขายอย่างเป็นทางการแล้ว ตัวแชมพูสำหรับคนผมมัน ส่วนคอนดิชั่นเนอร์สำหรับผมธรรมดา ได้ลองใช้ไปประมาณ 2 อาทิตย์แล้วก็รู้สึกโอเค
ว่ามันปลอดภัยไม่มีสารเคมีทั้งหลาย แต่มันหาซื้อค่อนข้างยากต้องซื้อผ่านเว็บเท่านั้น ราคาอาจจะแพงกว่าแชมพูตามตลาดทั่วไปในบ้านเราแต่กับปริมาณและได้รู้ถึงต้นทุนในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นออแกนิคแล้ว
ก็ถือว่าโอเค แชมพูราคา 350 คอนดิชั่นเนอร์ 360 บาทจ้า


10.Real Techniques Core Collection
หลายคนอาจจะเคยเห็นนัตตี้ใช้ไปแล้วในคลิปแต่งหน้าล่าสุด ถามว่าโอเคไหมก็ถือว่าโอเคนะกับราคาแค่นี้
แต่ถ้าให้เทียบกับซิกม่าแล้วยังไงนัตตี้ก็ชอบซิกม่ามากกว่าอยู่ดี แต่ราคาก็คนละเรื่องเลย
ทั้งเซ็ตนี้ซื้อซิกม่าได้ 1 ด้ามเอง นัตตี้ซื้อมาในราคา 650 บาทเท่านั้น ลองหาดูมีอยู่ร้านหนึ่งในเว็บนะจ๊ะ


11.Urban Decay Naked Basics Palette
เนื่องจากว่านัตตี้มี Naked Flushed แล้วจะขาดสิ่งนี้ไปได้อย่างไร ได้ลองใช้แล้วก็ค่อนข้างชอบเลย
เนื้อแมทดูเป็นธรรมชาติดี เอามาผสมกับอายแชรโดว์ชิมเมอร์ทั้งหลายที่เรามีอยู่ทำให้เราดูมีทักษะมากขึ้น ขนาดเล็กพกพาไปได้ง่ายๆ อันนี้ฝากชาวบ้านซื้อประมาณ 800-900 บาท จำไม่ได้แล้ว


12.Urban Decay Deluxe Shadow Box
ยังอยู่ที่แบรนด์เดิมและเป็นอายแชรโดว์อีกเช่นเดียวกัน พาเลทนี้แตกต่างกับเบสิกมากเลย
เพราะพาเลทนี้เน้นสีสันล้วนๆเอามาแต่งตาสนุกๆ แถมอายไฟรเมอร์ไซต์เล็กน่ารักมาให้ด้วย
ราคาลดจากหน้าเว็บเหลือประมาณ 500 กว่าบาท


13.Estee Lauder Double Wear Stay-in-Place Makeup SPF 10
#Cashew 3W2 #93
รองพื้นจากเคาเตอร์แบรนด์ที่ซื้อมาเป็นตัวตายตัวแทน Revlon Colorstay นั้นเอง
เพราะเรฟลอนรุ่นใหม่ที่ออกมานั้นติดอันเดอร์โทนชมพูหมดใช้ไม่ได้เลย ทาแล้วสีดูประหลาดมาก
เพราะเราอันเดอร์โทนเหลืองชัดเจน เลยต้องมาซบเอสเต้แทนซึ่งแพงกว่ามากแต่ก็คุ้ม ถามว่ามันต่างกันไหมขอบอกเลยว่ายังไงเอสเต้ก็ดีกว่า ทั้งโทนสี เนื้อสัมผัสและความบางเบา แต่มันก็มีปัญหา
ตรงที่รองพื้นแห้งไวมากกกกก(ลากเสียงยาวๆ) คุณต้องมีทักษะในการลงรองพื้นมาแล้วพอสมควร
ไม่งั้นทารองพื้นตัวนี้แล้วพังเป็นคราบแน่ๆ โดยรวมแล้วโอเคหมดนะถ้าไม่นับเรื่องการเกลี่ย
ราคาเต็ม 1,600 ลด 10% 1,440บาท


และอีกสิ่งหนึ่งที่พิเศษมากๆกับการไปซื้อเอสเต้ในครั้งนี้ นั้นก็คือพี่บีเอชื่อพี่ซิมน่ารักมากๆ
ใจดีให้เทสเตอร์มาผสมเล่น 2 กระปุก สีเข้มกับสีอ่อนกว่าสีที่เราใช้อยู่ ปลาบปลื้มที่สุด ♥


14.MAC Foundation Pump
เนื่องจากรองพื้นเอสเต้ของเรานั้นเป็นฝาสีทองอลังการเลอค่า แต่การใช้ลำบากมากต้องเทอย่างเดียว
แล้วก็ต้องมีการเทเยอะเกินแน่ๆ เลยไปเจอบล๊อคนอกว่าเค้าซื้อหัวปั๊มรองพื้นของ MAC มาใส่กัน
เราเลยไปรอช้ารีบไปถอยมาทันใดในราคา 230 บาท ปรากฏว่าใส่ได้พอดีเป๊ะและหมุนล็อคได้อีก
ปลาบปลื้มน้ำตาจะไหลจริงๆ ต่อไปนี้ไม่ต้องมานั่งเทให้หกเลอะเทอะแล้ว ^^


มาถึงในกลุ่มที่แพงขึ้นไปอีก นั้นก็มาจากแบรนด์เดียวกัน
เนื่องจากเมื่อตอนต้นเดือนนัตตี้ได้มีโอกาสไปเวิร์คชอปกับทางแบรนด์ร่วมกับบัตรเครดิตของธนาคารกรุงศรี
เขาก็มีการสอนพร้อมกับขายของเราก็เลยสอยมาตามระเบียบ ฮ่าๆ

15.Le'Sasha Power 4 Plus
ตัวนี้รุ่นใหม่แล้วมีคำว่า Plus เพิ่มเข้ามา มีด้วยกันทั้งหมด 5 หัว
หัวเบาลม หัวไดร์ตรง หัวไดร์วอลลุ่ม และก็หัวม้วนโรลอีก 2 หัว
ราคา 2,490 บาท


16.Le'Sasha Wet2Dry Slim
ตัวนี้เป็นตัวแถมมากับ Power 4 นั้นก็คือซื้อ Power 4 ราคาเต็มแล้วก็แถมตัวนี้ โอ้วแม่เจ้ามันคุ้มมากๆ
นั่งกดเครื่องคิดเลขแล้วก็ซื้ออย่างไม่คิดเลยจ๊ะ โปรโมชั่นนี้เฉพาะช่วงเดือนสิงหาคมเท่านั้น


17.Le'Sasha Hair Dryer 1200W
ตัวนี้ได้มาฟรีๆอีกแล้ว เนื่องจากว่าเราไปเวิร์คชอปใช่ไหม มีจะมีการตอบคำถามสนุกๆ
ใครตอบได้ก็จะได้ไดร์ตัวนี้มา นัตตี้ก็ใช้ความสวยและความสามารถที่มีอยู่ได้มา ฮ่าๆ


ชิ้นสุดท้ายแล้วชิ้นนี้ได้มาเป็นของขวัญวันเกิดจากพี่สาวของนัตตี้ เป็นกล่องใส่เครื่องสำอางค์
สามารถพกออกไปแต่งหน้าชาวบ้านได้ ขนาดกำลังเหมาะ(ถ้าไม่บ้าหอบอะไรมากนะ) แต่ก็หนักเอาเรื่องอยู่นะ
ถ้ารวมของที่ใส่แล้ว สามารถดึงเป็นชั้นได้อีก 3 ชั้น กรี๊ดมากๆ ><
ปล.ขอไม่บอกราคาและสถานที่ซื้อนะจ๊ะ เพราะมันเป็นมารยาทอย่างหนึ่ง ที่ไม่สมควรไปถามคนซื้อให้ว่าซื้อมาเท่าไหร่อะไรยังไงนะจ๊ะ ♥


ไงวันนี้ก็ขอตัวไปก่อนแล้วกันนะจ๊ะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาโดยตลอด เชิญรับชมในรูปแบบวีดีโอได้ข้างล่าง อาจจะนานหน่อยแต่รับรองมันแน่ๆ ฮ่าๆ บ๊ายบาย ♥