วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556

รีวิว Pro Trend Color Contact Lens - Kissy 3 Tone Brown

บล๊อคนี้เปลี่ยนแนวนะ ฮ่าๆ เปลี่ยนมารีวิวคอนแทคเลนส์กับบ้างดีกว่า เนื่องจากว่าคอนแทคเลนส์ยี่ห้อนี้กระแสแรงจริงๆ และแรงไม่ใช่จากใครที่ไหน นั้นก็คือยานแม่ โมเมพาเพลินนั้นเิอง(จริงแล้วนางเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้แบรนด์ด้วยนั้นแหละ)


แบรนด์ Pro Trend Color นั้นเท่าที่ทราบมา(ย้ำนะ) เป็นแบรนด์ของคนไทยเนี้ยแหละ แต่นำเข้ามาจากประเทศเกาหลี ง่ายๆก็คือแบรนด์ไทย ผลิตเกาหลีนะจ๊ะ โอเค๊...

เรามาดูตัวคอนแทคเลนส์กันเลยดีกว่า แบรนด์นี้มาในรูปแบบกล่องใส่มาให้ ด้านหน้าและหลังมีบอกรายละเอียดได้ชัดเจนครบถ้วน อันนี้ตบมือให้ เพราะบางยี่ห้อที่ขายๆกันไม่มีที่มาที่ไปสักนิดเลย
คอนแทคเลนส์ยี่ห้อนี้เป็นแบบราย 1 เดือนทุกรุ่นนะจ๊ะ


เปิดมาข้างในกล่องเราก็จะเจอกระดาษล็อคขวดคอนแทคเลนส์เอาไว้ ด้านข้างมีรูปวิธีการใส่ แต่!!!รูปเนี้ยมันมาจากเว็บน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ยี่ห้อหนึ่ง(มายังไง) ด้านหลังบอกขั้นตอนการใส่ ถ้าคุณอ่านแล้วจะรู้สึกได้ว่าภาษามันแปลกๆ อาจจะเป็นเพราะพื้นที่กล่องจำกัดเลยต้องเขียนอะไรที่เข้าใจกันง่ายๆมั่งนะ


ตรงฝาขวด อันนี้ชอบมากๆ มีบอกจุดที่เราจะต้องัดเพื่อเปิดขวด บางยี่ห้อไม่มีบอกอะไรเลย งัดไม่ออกนะจ๊ะ ต้องเอามีดมางัดแงะทุกที

สีที่นัตตี้เลือกมานั้นเราเลือกตามต้องการและที่ร้านมีนั้นก็คือ สีน้ำตาล ไซต์เล็กๆ ไม่ตัดขอบดำ ค่าสายตา -150 เลยได้ Kissy 3 Tone มา ซึ่งเป็นรุ่นยอดฮิตของยี่ห้อนี้เลย


ก่อนใส่แนะนำว่าใช้น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ก่อน 1 คืน นัตตี้ใช้ Aosept Clean Care ของ Ciba Vision นะจ๊ะ ใช้มาหลายปีแล้ว แพงหน่อยแต่ดีจริงๆ


พอลองใส่ขนาดไม่ได้ต่างกับตาจริงของนัตตี้เลย สีออกน้ำตาลไปทางเหลือง แต่พื้นสีตาเดิมของเรานั้นค่อนข้างเข้มเลยออกเหลืองไม่มากำลังดี (สีที่ได้ขึ้นอยู่กับสีตาเดิมของแต่ละคนด้วยนะจ๊ะ) ลาย 3 ชั้น เบลนเข้ากับสีตาไม่หลอกตามากนัก


ดูตอนแต่งตากันบ้างดีกว่า


สรุปหลังจากที่ลองใส่มา 1 เดือนแล้ว ค่อนข้างพอใจกับคอนแทคเลนส์ยี่ห้อนี้ ใส่ง่าย ไม่ระคายเคือง ขนาดไม่ใหญ่บิ๊กอาย แต่ถ้าใส่เกิน 8 ชั่วโมงก็มีระคายเคืองบ้างเป็นเรื่องปกติของคอนแทคเลนส์นะ
มาในส่วนของสี สีน้ำตาลออกไปทางเหลืองจริงอันนี้ยอมรับ แต่นัตตี้พื้นสีตาเดิมเข้มเลยไม่เห็นความเหลืองชัดมาก แต่ก็มีบางรุ่นเท่าที่เห็นก็ออกเหลืองมากเลยก็มี
ราคาอยู่ 250บาท หาซื้อได้ตามตัวแทนจำหน่ายของเขาแล้วกันมีเพียบ

สุดท้ายนั้นอยากให้ทุกคนรักษาความสะอาดให้ดี เพราะมันเป็นอะไรที่อยู่กับตาเรา เพราะฉะนั้นระวังให้มากๆ ตาของเรามีแค่คู่เดียวไม่สามารถเปลี่ยนได้นะจ๊ะ ฝากกันไว้นิดนึงนะ บ๊ายบาย ^^

วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

รีวิวฟองน้ำล้างหน้าจากธรรมชาติ Konjac Sponge

บล๊อคนี้นัตตี้จะมารีวิวและพูดถึงเกี่ยวกับอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่ตอนนี้ตัวนัตตี้เองปลาบปลื้มเอามากๆ นั้นก็คือตัว Konjac Sponge นั้นเอง


Konjac หลายคนอาจจะคุ้นชื่อ ใช่แล้วหล่ะค่ะมันก็คือ หัวบุก หรือคอนยายุคในภาษาญี่ปุ่นนั้นเอง เป็นการนำคอนยาคุไปแช่แข็งและทำให้แห้ง วนไปมาหลายๆรอบจนได้เส้นใยที่เรียกว่า glucomannan ที่สามารถดูดซึมน้ำได้ดี และมีเส้นใยที่ละเอียดสามารถขจัดสิ่งสกปรกได้อย่างอ่อนโยน เป็นภูมิปัญญาของชาวญี่ปุ่นที่ใช้กับเด็กทารกในสมัยโบราณ

คุณสมบัติคร่าวๆคือ มีฤทธิ์ Alkaline หรือกรดอ่อนๆให้เป็นกลาง pH balanced สามารถทำความสะอาดคราบเครื่องสำอางและช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าได้อย่างอ่อนโยน ไม่ระคายเคืองแม้ผิวแพ้ง่ายหรือคนที่เป็นสิว(แต่แนะนำว่าให้เว้นตรงที่มีสิวอักเสบไว้ก็ดีนะ) ใช้ได้ทั้งผิวหน้าและผิวกายหรือแม้แต่เด็กทารก และสามารถใช้ได้ทุกวันโดยไม่ทำร้ายผิว ประมาณนี้แหละคร่าวๆเนอะ

จริงๆแล้ว Konjac Sponge แบรนด์แรกที่นัตตี้รู้จักเลยก็คือ The Konjac Sponge Company เรียกได้ว่าเป็นแบรนด์อินเตอร์ที่ผลิตและขายไปทั่ว นัตตี้เห็นครั้งแรกในเว็บ Luxola.com ราคาประมาณ 300 กว่าบาท


แต่วันนี้ที่นัตตี้จะมารีวิวนั้นเป็นยี่ห้อ Reven Bath จากเกาหลี แต่มีบริษัทนำเข้ามาขายในเมืองไทยแล้ว


Konjac Sponge จะมีแบบมาตรฐานเหมือนกันนั้นก็คือสีขาว ที่เป็นคอนยาคุล้วนๆ หรือบางแบรนด์จะมีการผสมถ่าน ชาเขียว หรือดินโคลน ก็จะมีหลายสีแตกต่างกันออกไป
แบรนด์ Reven Bath มีด้วยกัน 3 แบบคือ สีขาวสำหรับผิวแพ้ง่าย สีดำสำหรับผู้มีใบหน้าหมองคล้ำ และสีส้มสำหรับผิวแห้ง รูปทรงก็จะมีทั้งหัวใจ กลม หยดน้ำ หรือแบน แตกต่างกันออกไป
ลักษณะของเนื้อฟองน้ำจะมีความนุ่นและยืดหยุ่น เห็นเป็นโฟรงเล็กๆในเนื้อดูขรุขระ


ก่อนใช้ก็แค่นำฟองน้ำไปแช่ในน้ำประมาณ 2-3 นาที ให้ฟองน้ำดูดน้ำขึ้นมาจนเต็ม แล้วบีบออก


วิธีการใช้งานก็ง่ายๆ ในตอนเย็นให้ล้างเครื่องสำอางบนในหน้าออกให้หมด จากนั้นใช้คลีนเซอร์หรือโฟนล้างหน้าที่เราใช้อยู่ปกติบีบลงไปทั่วใบหน้า จากนั้นก็ใช้ฟองน้ำนวดวนขึ้นเป็นวงกลมทั่วใบหน้าและล้างน้ำออก
แต่ถ้าใช้ในตอนเช้าก็ใช้แค่ฟองน้ำกับน้ำแค่นั้นพอไม่ต้องพึ่งคลีนเซอร์เลย


เราอาจจะเห็นคราบเครื่องสำอางหรือน้ำมันติดมาที่ตัวฟองน้ำอย่างชัดเจนมาก


รู้สึกได้เลยว่าตัวฟองน้ำนั้นอ่อนนุ่มและไม่รู้สึกระคายเคืองผิวสักนิด ต่างจากฟองน้ำล้างหน้าที่เป็นใยสังเคราะห์หน้ามือเป็นหลังมือเลยจริงๆ และจะรู้สึกถึงความสะอาดของผิวมากๆ แต่ไม่ระคายเคืองแต่อย่างใด (ฟังดูเวอร์แต่ของอย่างนี้ต้องลองเอง)

หลังใช้งานทุกครั้งบีบน้ำออกให้หมด แล้วนำไปผึ่งในที่ๆมีอากาศถ่ายเทสะดวก อย่าเอาไว้ในห้องน้ำเด็ดขาด!!! เดี๋ยวราจะมาเยือนนะจ๊ะ มีเชือกร้อยไว้ให้สำหรับตากอยู่แล้วด้วย


หรือใน 1 อาทิตย์เราก็สามารถเอาฟองน้ำของเราไปฆ่าเชื้อได้ด้วยการ นำไปต้มในน้ำเดือดๆเป็นเวลา 2 นาที หรือนำเข้าไมโครเวฟในขณะที่ฟองน้ำเปียกเป็นเวลา 2 นาทีเช่นเดียวกัน


สรุปใช้มา 2 เดือนบอกได้คำเดียวว่าเริ่ดมากกกกกก ทุกๆคนควรจะมีจริงๆ ใครที่อยากพิถีพิถันกับการล้างหน้าควรมีนะ ทุกๆคนสามารถใช้ได้ แต่งหน้าหรือไม่แต่งหน้าก็ใช้ได้หมด ไม่ว่าสภาพผิวจะเป็นแบบไหนก็ใช้ได้หมด ทำจากธรรมชาติล้วนๆ ปลอดภัย อ่อนโยน ไม่ระคายเคืองผิว ทำความสะอาดได้ล้ำลึกจริงๆ(ตอนนี้อยากได้ไซต์ใหญ่สำหรับตัวด้วยเลยอ่ะ)

สำหรับ  Reven Bath Konjac Sponge ตัวนี้นัตตี้ซื้อที่ร้าน Lashes ราคาสีขาว 139บาท ส่วนสีอื่นๆ 149 บาทนะจ๊ะ หรือหาซื้อได้ที่เว็บ Lazada.co.th ขายเป็นคู่ประมาณ 400 บาท
นอกนั้นก็หาซื้อได้ทั่วไปตามอินเตอร์เน็ตมีเยอะแยะหลายแบบไม่จำเป็นต้องเป็นยี่ห้อนี่ก็ได้นะจ๊ะเหมือนกันหมด
อายุการใช้งานจะอยู่ได้ประมาณ 3 เดือนขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา

ไงก็หวังว่าจะมีประโยชน์กับทุกคนไม่มากก็น้อยนะจ๊ะ ใช้แล้วชอบไม่ชอบยังไงก็มาบอกนัตตี้กันได้นะ บ๊ายบาย ♥

วันพุธที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2556

รีวิว Soap & Glory Hand Cream / Foot Cream

บล๊อคนี้เราจะมารีวิวผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกันบ้างมาจากแบรนด์ Soap & Glory นั้นเอง ขอบอกเลยว่าตอนนี้นัตตี้กำลังแบรนด์นี้มากๆ

สำหรับแบรนด์ Soap & Glory นั้นเป็นแบรนด์จากประเทศอังกฤษ เป็นแบรนด์ที่มีผลิตภัณฑ์บำรุง
ตั้งแต่หัวจรดเท้าจริงๆ มีครบทุกอย่างและเป็นที่นิยมมาก หาซื้อได้ตามร้าน Boots
หรือร้านขายยาในประเทศอังกฤษ แต่สำหรับในบางประเทศมีขายเฉพาะที่ Sephora นะจ๊ะ

มาที่ตัวแรกนะค่ะนั้นก็ึืคือ Hand Food หรือ Hand Cream นั้นเอง ต้องบอกเลยว่าแฮนด์ครีมนี่เป็นอะไร
ที่นัตตี้ติดมากๆ เพราะเราเป็นคนที่ชอบล้างมือบ่อยมือก็จะแห้งเลยต้องทาแฮนด์ครีมตลอด


หลอดสีชมพูสัญลักษณ์ของแบรนด์ ขนาด 125 ml. เปิดใช้แล้วจะอยู่ได้ 2 ปีนะจ๊ะ 


เนื้อครีมตัวนี้ดีมากกกกกกกกก ชุ่มชื่น ไม่เหนอะหนะ ซึมเข้าผิวได้ดีมากๆ ล้างมือแล้วก็ยังรู้สึกว่าตัวครีมยังเคลือบผิวของเราอยู่ กลิ่น Floral Fruity มากๆ ว่ากันว่ากลิ่นเหมือนน้ำหอม Miss Dior Cherie
แต่นัตตี้รู้สึกว่ามันแค่คล้ายนะไม่ถึงกับเหมือน แต่โอเคกลิ่นไปในแนวทางเดียวกันอยู่


ตัวต่อไปนั้นก็คือ Heel Genius หรือ Foot Cream นั้นเอง ดูแลมือแล้วก็อย่าลืมดูแลเท้ากันด้วยนะจ๊ะ


หลอดสีชมพูเหมือนกันเป๊ะ ขนาด 125 ml.เท่ากัน แต่ตัวนี้เปิดใช้แล้วจะอยู่ได้ 18 เดือนนะจ๊ะ


สำหรับเนื้อครีมตัวนี้จะออกเป็นฟ้าอมเขียวอ่อนๆ สวยดีเหมือนกันนะ(เกี่ยวไหม -..-)
เนื้อครีมตัวนี้ชุ่มชื่มมาก ซึมเข้าผิวไวดี แต่้เหนอะหนะพอสมควร อันเนื่องด้วยมาจากบริเวณเท้าของเรานั้น
ใช้งานหนักและแห้งมาก เนื้อครีมประมาณนี้นัตตี้ว่าโอเคนะ แนะนำว่าทาก่อนนอนแล้วสวมถุงเท้านอน
ตื่นมารับรองเท้าคุณนุ่มอเมซิ่งอย่างเขาว่าจริงๆ และอีกอย่างที่ชอบคือมันเคลือบผิวของเราดีมากๆ
เคยทาก่อนนอนแล้วตื่นมาไม่อาบน้ำจนถึงเย็นยังรู้สึกว่าเท้าเรายังนุ่มมีอะไรเคลือบผิวอยู่เลย
(แต่ตัวนี่เน่าไปแล้ว ฮ่าๆ) กลิ่นออกแล้ว Fresh สบายๆ สดชื่นๆ กว่าตัวแฮนด์ครีม


คือไม่มีอะไรจะพูดมากแล้วสำหรับ 2 ตัวนี้เป็น Favorite ของนัตตี้เลยจริงๆ ชอบมากๆ คุณภาพกับราคานี่เลอค่ามากๆเลยขอบอกนะจ๊ะ สำหรับราคาคือ 295 บาท เท่ากันทั้ง 2 ตัว นัตตี้ซื้อตอนโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 นะจ๊ะ
หาซื้อได้ที่ร้าน Boots ทุกสาขา ไปลองแล้วกักตุนเหมือนที่นัตตี้ทำกันนะ ฮ่าๆ ไปแระบ๊ายบายยยย


วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

การดูแลเส้นผมหลังทำสี ให้สีผมสวยและสุขภาพดี

อย่างที่เคยกริ่นเอาไว้ในบล๊อคที่แล้ว ว่านัตตี้จะมาพูดถึุงกันเกี่ยวกับเรื่องการดูแลเส้นผมหลังทำสีกัน
การมีสีผมที่สวยนั้นต้องมาคู่กับกับสภาพเส้นผมที่ดีด้วย จะมาสีผมสวยแต่ผมแห้งกรอบมากๆอันนี้มันก็ดูแย่มากกว่าสวยนะจ๊ะ จะมีขั้นตอนอย่างไรบ้างนั้นอ่านต่อจากนี้เลยจ๊ะ

เรามาเริ่มกันที่อย่างแรกกันดีกว่านั้นก็คือ แชมพูนั้นเอง สำหรับการสระผมหลังจากทำสีนั้นควรทิ้งระยะห่างอยู่ที่ 48 ชั่วโมงหรือ 2 วันนั้นเอง(นานกว่านั้นก็ได้นะ แต่หัวอาจจะเน่าซะก่อน -..-)

สำหรับแชมพูนั้น ส่วนตัวนัตตี้เองไม่ค่อยเจาะจงมากสักเท่าไหร่ เลือกเอาที่ตามสภาพเส้นผมและหนังศีรษะของเราในช่วงนั้นๆจะดีกว่า หรือถ้าใครต้องการจะดูแลสีผมเป็นพิเศษ ก็ควรที่ใช้แชมพูสำหรับผมทำสีโดยเฉพาะ แชมพูสำหรับผมทำสีนั้นให้เลือกที่ Sulfat-free เพราะตัวซัลเฟตนั้นเป็นสารทำความสะอาดที่จะไปชะล้างทำให้สีผมของเราหลุดเร็วขึ้นนั้นเอง ส่วนแชมพูที่โฆษณาว่ามีสารบำรุงนู้นนี่นั่น อันนี้นัตตี้ขอบอกเลยว่าอย่าไปเชื่อนัก เพราะแชมพูนั้นมีแค่หน้าที่ในการทำความสะอาดเส้มผมของเราแค่นั้น สารบำรุงที่ใส่มานั้นยังไม่ทันบำรุงถึงไหนเลยเราก็ต้องล้างออกแล้ว


หลังจากที่เราสระผมเรียบร้อยแล้วก็มาถึงในส่วนของขั้นตอนการบำรุงกันแล้ว หลังจากที่เราทำสีผมนั้นสิ่งที่จะเห็นได้ชัดเจนเลยนั้นก็คือ ปลายผมของเราจะแห้งถึงแห้งมาก แล้วแต่ตามสภาพ
เราจะใช้แค่ Conditioner หรือครีมนวดผมนั้นไม่พอแน่ๆ เพราะคอนดิชั่นเนอร์นั้นมีหน้าที่แค่เคลือบเส้นผมให้ผมลื่นเท่านั้น เพราะหลังจากเราสระผมชะล้างน้ำมันบนเส้นผมออกไป ผมของเราก็จะฝืดขึ้น ตัวคอนดิชั่นเนอร์เนี้ยแหละที่จะมาช่วยให้เส้นผมของเรานั้นลื่นขึ้นนั้นเอง

โดยส่วนตัวแล้วนัตตี้เลืิอกใช้ Treatment แทน Conditioner ทุกครั้งไปเลย เพราะตัวทรีทเมนต์นั้นจะเข้มข้นกว่าและมีสารบำรุงที่มากกว่านั้นเอง แต่ตัวทรีทเมนต์จะมีความหนักของเนื้อผลิตภัณฑ์ค่อนข้างมากแล้วดังนั้นสำหรับคนที่สภาพหนังศีรษะมันอยู่แล้วอย่างนัีตตี้ การจะใช้ทรีทเมนต์ชโลมทุกครั้งหนังศีรษะก็คงมันแย่ ดังนั้นเราถึงชโลมทรีทเมนต์เฉพาะส่วนที่ผมของเราแห้งมาก นั้นก็คือ ช่วงกลางถึงปลายผมนั้นเอง(สำหรับคนผมยาวเลยบ่าไปนะ)

ทรีทเมนต์ที่นัตตี้ใช้ช่วงนี้และราคาถูกดีนั้นก็คือ L'OREAL Professional Hair Spa Nourishing Creamebath นั้นเอง ตัวนี้มี 2 แบบนะ จุดสีเหลืองสำหรับผมแห้งและอ่อนแล ส่วนจุดสีส้มสำหรับผมแห้งเสียมากและอ่อนแอมาก สามารถหาซื้อได้ตามร้านอุปกรณ์ทำผมต่างๆ นัตตี้เชื่อว่ามีทุกร้าน เพราะมันเป็นตัวที่ยอดฮิตมากๆ
แต่ตัวนี้เขาจะแนะนำให้ใช้คู่กับการอบไอน้ำด้วยจะได้ผลดีมากๆ เดี๋ยวเราจะพูดถึงการอบไอน้ำอีกทีนะ


อย่างที่บอกว่าเราใช้แทนครีมนวดผมวิธีการใช้ก็ง่ายๆ ชโลมทรีทเมนต์ช่วงกลางถึงปลายผม แล้วทิ้งไว้อย่างน้อย 5 นาทีแล้วล้างออก หรือถ้ามีเวลามากกว่านั้นก็ทิ้งไว้ 15-30 นาทีก็ได้

ทรีทเมนต์อีกประเภทที่ขอพูดถึงหน่อย เพราะว่าช่วงนี้ใช้บ่อย นั้นก็คือประเภทที่เป็นทรีทเมนต์ที่ช่วยบำรุงเส้นผมและเป็นแว๊กซ์เคลือบสีผมนั้นเอง เคยพูดถึงการใช้ไปในบล๊อคที่แล้ว
ทรีทเมนต์ประเภทนี้เหมาะมากๆสำหรับใครที่ทำสีผมประหลาด คือ ไม่ใช่ดำ น้ำตาล น้ำตาลทองอะไรพวกนี้
แต่เป็นแดง ชมพู ม่วง เขียว สีอะไรที่น้อยคนนักจะทำ ฮ่าๆ
ตัวนี้จะช่วยบำรุงพร้อมเคลือบสีผมของเราไปด้วยในตัว มีสีให้เราเลือกเยอะแยะมากมาย หรือจะใช้แทนครีมเปลี่ยนสีผมก็ได้ แต่สีผมเดิมของเรานั้นต้องเป็นสีอ่อนมากอย่างบลอนด์ทอง สีถึงจะติด
ตัวที่นัตตี้ใช้คือ ERC Treatment Hair Color Cream ตัวนี้ก็หาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์ทำผมต่างๆอีกเช่นเดียวกัน


วิธีการใช้ก็แค่ใช้หลังสระ เช็ดผมให้หมาด ชโลมทรีทเมนต์ให้ทั่ว แล้วใช้มือขยี้เพื่อให้ซึมเข้าเส้นผม ทิ้งไว้ 20-30นาทีแล้วล้างออก
แต่สีของทรีทเมนต์ประเภทนี้จะอยู่ได้ไม่นานเพราะมันแค่เคลือบไว้ แต่เราก็สามารถใช้ได้บ่อยอีกเช่นเดียวกัน


มาถึงในส่วนของตัวบำรุงหลังสระก็จะมีหลายรูปแบบทั้ง Serum, Leave on เยอะแยะมากมายแล้วแต่จะเรียก แต่หน้าที่หลักๆนั้นก็คือการบำรุงหลังสระ และช่วยปิดเกล็ดผมอีกชั้นนั้นเอง

ลีฟออนที่นัตตี้ใช้อยู่ก็จะมี Milano Solution For Damage Hair ตัวนี้เหมาะมากๆหลังจากที่เพิ่งทำสี ตัวนี้จะช่วยบำรุงผมที่แห้งเสียมากๆจากการทำเคมีได้ดี


ส่วนเซรั่มที่นัตตี้ใช้ก็จะเป็น Milano Gold Silk เป็นเซรั่ม Argan Oil นัตตี้ชอบใช้เซรั่มที่เป็นออยล์นะ เพราะเราเป็นคนผมเส้นใหญ่แล้วใช้ออยล์แล้วปลายผมเรียบลื่นดี


วิธีการใช้ 2 ตัวนี้ นัตตี้จะใส่ตัว Solution ในขณะผมหมาดก่อนไดร์ผม ช่วงกลางถึงปลายผม พอหลังจากไดร์ผมเสร็จก็จะใส่ตัว Gold Silk ช่วงปลายผมเพื่อปิดเกล็ดผมนั้นเอง หรือจะใส่ตัวใดตัวหนึ่งทั้งก่อนและหลังไดร์ก็ได้ไม่มีปัญหานะ แต่นัตตี้มีทั้งสองตัวก็เลยใส่ๆไป ฮ่าๆ

มาพูดถึงการอบไอน้ำกันบ้างดีกว่า หลายคนถ้าผมเสียมากๆก็จะนึกถึงการอบไอน้่ำขึ้นมา นั้นก็ถูกนะไม่ใช่ไม่ถูก แต่สำหรับคนผมทำสีแล้วการอบไอน้ำสามารถทำได้แต่มีข้อควรระวังอยู่นิดนึง
การอบไอน้ำนั้นจะเป็นการใช้ความร้อนเปิดเกล็ดผม เพื่อให้ทรีทเมนต์ต่างๆนั้นบำรุงได้ล้ำลึกเข้าไปถึงแกนผม


แต่สำหรับคนที่เพิ่งทำสีผมนั้น เกล็ดผมของเราจะเปิดอยู่แล้ว การที่เราอบไอน้ำโดยใช้ความร้อนเปิดเกล็ดผม ผมของเรานั้นก็จะยิ่งเสียเข้าไปใหญ่ ทรีทเมนต์ที่ลงไปนั้นก็คงช่วยไม่ได้มาก
แนะนำว่าถ้าอยากอบไอน้ำสามารถทำได้ แต่ควรหลังจากการทำสีผมไปแล้วอย่างน้อย 1-2 อาทิตย์ เพื่อให้เกล็ดผมของเราปิดสนิทไปก่อน ระหว่างนั้นก็บำรุงตามข้างบนที่บอกไป

การใช้ความร้อนอันนี้ก็สำคัญ ความร้อนจะเป็นตัวทำให้สีผมของเราซีดจางและเส้นผมของเรานั้นแห้งมากขึ้นไปอีก ความร้อนไม่ว่าจากการจัดแต่งทรงใดๆก็สามารถทำให้เส้นผมของเราเสียได้ทั้งนั้น สำหรับนัตตี้แล้วช่วงอาทิตย์แรกหลังทำสีผม จะพยายามไม่ใช้ความร้อนใดๆกับเส้นผม เพราะอย่างที่บอกไปเมื่อกี้เกล็ดผมของเราเปิดอยู่แล้ว การยิ่งใช้ความร้อนเกล็ดผมก็จะยิ่งเปิดผมก็จะยิ่งเสียไปกันใหญ่


การไดร์ผมถ้าเลี่ยงได้ก็ใช้พัดผมเบาหัวไปแทน (โปราณสุดๆอ่ะ) แต่ถ้าจำเป็นหรือไม่ไหวจริงๆจะต้องไดร์ผม นัตตี้แนะนำให้ไดร์แค่ช่วงบนถึงกลางพอ และัไดร์แค่พอแห้ง 80% ที่เหลือก็ปล่อยให้แห้งเองตามธรรมชาติดีกว่า เว้นช่วงปลายผมที่แห้งมากๆไว้จะดีกว่า

หรือถ้าจำเป็นจริงๆ(อีกแล้ว) ก็ฉันอยากสวยอ่ะ อยากจะม้วนอยากจะหนีบให้ผมเราดูสวยเก๋ไปข้างนอกบ้าง ก็ต้องใส่ตัว Heat Protection หรือตัวกันความร้อนก่้อนจัดแต่งทรงทุกครั้ง ไม่ว่าสภาพเส้นผมของเราจะเป็นอย่างไรก็ตาม ตัวกันความร้อนเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆสำหรับการใช้ความร้อนกับเส้นผม
ตัวที่นัตตี้ใช้อยู่ก็คือ Tresemme Thermal Creations Heat Tamer Protective Spray


ตัวกันความร้อนจริงๆแล้วมีหลากหลายประเภทมากๆ อันนี้นัตตี้ไม่อยากเจาะจง มีทั้งแบบสเปรย์ ครีม หรือเป็นมูสในการจัดแต่งทรงและกันความร้อนไปด้วยในตัวก็มี เอาเป็นว่าเลืิอกตามแต่การจัดแต่งทรงนั้นๆของเราแล้วกัน เอาตามชอบเลย

ก็หมดแล้วกับการการดูแลเส้นผมหลังทำสีจากประสบการณ์ของนัตตี้เองล้วนๆ
ก็หวังว่าทุกๆคนจะได้ประโยชน์กันไม่มากก็น้อย สีผมสวยและสุขภาพผมต้องดีด้วยนะจ๊ะ บ๊ายบายจ้า ^^

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

Dip Dye Hair ทำเองก็ได้ง่ายจัง

ถ้าหลายๆคนติดตามนัตตี้ในเพจก็คงจะเห็นสีผมล่าสุดของนัตตี้กันแล้ว นั้นก็คือ Dip Dye Hair หรือการทำสี
แค่ช่วงปลายผมนั้นเอง

สำหรับนัตตี้เลือกเป็นสีแดง เนื่องจากว่าสีผมเราดำแล้วตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้ว ก็เลยเลือกสีแดง
เพราะมันเป็นสีที่แรงและเด่นดี ฮ่าๆ

สำหรับผลิตภัณฑ์ที่นัตตี้เลือกใช้ในการทำครั้งนี้นั้นก็คือ ผงฟอกสีผมของ D Cash สีแดงเลย
ราคาแค่ 35บาทเอง พร้อมไฮเปอร์ครีม 12%

(ขออภัยรูปมาจาก Google นะค่ะ ตอนทำไม่ได้ถ่ายไว้)

ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ผลที่ออกมาได้แดงสะใจดี แต่ 2 ข้างไม่เท่ากันซะงั้น ฮ่าๆ
เราเลยไม่ยอมกัดอีกรอบไปเลย คราวนี้ทิ้งไว้แค่ 20 นาทีพอ
ผลออกมาแดงสมใจ สีเท่ากันเป๊ะ แต่ผมแห้งมากกกกกกกกกก


เรื่องผมแห้งเสียนี่เราทำใจไว้อยู่แล้ว เพราะการกัดสีผมยังไำงก็ต้องแห้งเสียอยู่แ้ล้ว
แล้วช่วงปลายผมเป็นส่วนที่แห้งที่สุดอยู่แล้วด้วย ไว้ค่อยมาบำรุงทีหลังแล้วกันเนอะ

หลังจากนั้น 1 อาทิตย์สีผมจากแดง ก็ค่อยๆหลุดเรื่อยๆ กลายมาเป็นแดงที่ออกไปทางส้มซะงั้น


ซึ่งเป็นเรื่องปกตินะ เพราะหลังจากกัดสีผมแล้วเราควรที่จะทำสีต่อเลย แต่เนื่องจากว่าผมมันแห้งมากกกกก
นัตตี้เลยขอพักเพื่อบำรุงก่อนสัก 1 อาทิตย์ค่อยเติมสีแล้วกัน

และแล้วก็มีพี่ใจดีส่ง ERC Treatment Hair Color Cream สีชมพูมาให้ลองเล่น
นัตตี้ก็ไม่รอช้าจ๊ะ ในเมื่อครบ 1 อาทิตย์พอดีก็จัดเลย


วิธีการทำก็ง่ายมากกกก มันก็คือเป็นทรีทเมนต์ที่ช่วยบำรุงเส้นผม แล้วก็เป็นแว๊กซ์เคลือบสีผมไปด้วยในตัว
ลงไปในบริเวณที่เราต้องการ แล้วก็ขยี้ๆให้มันซึมลงไป ทิ้งไว้ 20-30นาที


และด้วยความมักง่ายของนัตตี้ หาถุงมือพลาสติกไม่เจอ ก็ใช้มือเนี้ยแหละลงไปเลย
ผลปรากฎว่า มือชมพูอลังการมาก เล็บจากสีนู้ดกลายเป็นสีชมพูไปเลย สีเข้มจริงอะไรจริงพวกนี้


ผลที่ได้ก็ออกเป็นแดงชมพูหน่อยๆ หลายคนทักว่าสวยดีเหมือนกัน


สภาพเส้นผมไม่แห้งเหมือนคราวกัดสีเพราะเหมือนเราบำรุงและเคลือบสีแค่นั้นเอง
สีอาจจะหลุดได้อีกเรื่อยๆเป็นธรรมดา แต่เราก็สามารถใช้ทรีทเมนต์ประเภทนี้ทำได้เรื่อยๆเลย ดีจัง ♥

สรุปแล้วการทำ Dip Dye Hair ในครั้งนี้ชอบนะ ชอบมาก แดงแรงสมใจดี นัตตี้เองก็อยากทำมานานแล้วด้วย
ในเมื่อมีโอกาสทำแล้วก็ทำเลยไม่รอช้า แต่ก็ต้องยอมรับกับสภาพเส้นผลหลังทำด้วยนะ อันนี้พร้อมรับอยู่แล้ว แต่ถ้าเราไม่อยากผมเสียมาก นัตตี้แนะนำให้ไปทำร้านดีๆนะ แต่ขอบอกเลยว่าไม่ต่ำกว่า 2,000 บาทนะจ๊ะ
ถามว่าถ้าเกิดเบื่อแล้วจะทำอย่างไร ถ้าเป็นนัตตี้นะนัตตี้คงตัดออกเลย ขี้เกียจมานั่งย้อมดำกลับแล้วบำรุงอีกทีมันเหนื่อยนะ เอาเป็นว่าขอสีผมแรงๆแบบนี้ไปก่อนสักพักแล้วกันเนอะ ♥

เดี๋ยวบล๊อคหน้านัตตี้จะมาบอกถึงวิธีการดูแลเส้นผมหลังทำสีแล้วให้แล้วกันนะจ๊ะ บ๊ายบายจ้า ^^

วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

รีวิว Watsons Green Tea Balancing Cleansing Oil

บล็อคนี้เราจะมารีวิวคลีนซิ่งออยล์ยี่ห้อหนึ่งที่หลายคนอาจจะเคยเห็นไปแล้วในเห่อช้อปปิ้งเดือนเกิด
นั้นคือ Watsons Green Tea Balancing Cleansing Oil นั้นเอง จริงๆแล้วคลีนซิ่งออยล์ของวัตสันนอกจากสูตรที่เป็นชาเขียวแล้วก็ยังมีลาเวนเดอร์อีกด้วย แต่ที่นัตตี้เลือกสูตรนี้มาเพราะเขาเคลมว่าเหมาะกับคนหน้ามัน


ด้านข้างกล่องมีบอกสรรพคุณพร้อมวิธีใช้ด้วย แต่เป็นภาษาอังกฤษนะจ๊ะ


มาถึงด้านหลังฉลากภาษาไทยกันบ้าง


ส่วนผสมกันแบบชัดๆ


เปิดกล่องออกมาก มีกระดาษแข็งครอบช่วงคอขวดไว้ไม่ให้ขวดกลิ้งไปมาในกล่อง


ลักษณะขวดเป็นทรงกลม เรียวยาว สีเขียวใส คล้ายแบรนด์ดังยี่ห้อหนึ่งมาก


ลักษณะของเนื้อออยล์เป็นออยล์ใสไม่มีสีใดๆ ได้กลิ่นของชาเขียวชัดเจนมาก


มาถึงความรู้สึกหลังใช้มาอย่างน้อย 1 อาทิตย์กันบ้างดีกว่า
ความรู้สึกแรกอย่างที่บอกไปแล้วคือกลิ่น ได้กลิ่นของชาเขียวชัดเจนมากๆ ฉันชอบ ♥
เนื้อของออยล์ฺนั้นบางเบาไม่มีความหนืดเลย
พอเรานวดวนไปที่ใบหน้าแล้วนั้นไม่รู้สึกเหนอะหนะสักนิด(แต่ก็มันๆตามสไตล์ออยล์)
สามารถนวดวนบริเวณรอบดวงตาได้อย่างไม่รู้สึกแสบตาใดๆ(บางยี่ห้อนี่เคืองตาสุดฤทธิ์อ่ะ)
หลังจากพรมน้ำเล็กน้อยแล้วนวดต่อให้ออยล์เป็นน้ำนม เราจะยังรู้สึกถึงความลื่นของออยล์อยู่ชัดเจน
พอเริ่มล้างออกด้วยน้ำเปล่าแล้ว ก็ยังรู้สึกถึงความลื่นของออยล์อยู่ทำให้เราต้องล้างน้ำหลายรอบหน่อย
*แนะนำว่าควรล้างออกด้วยน้ำอุ่นจะชำระล้างความมันออกได้หมดจด*
หลังจากล้างออยล์จนเกลี้ยงแล้ว ก็ตามด้วยคลีนเซอร์ที่คุณใช้ปกติทุกครั้งนะจ๊ะ

ขอเป็นรูปท้องแขนแทนแล้วกันนะ ไม่พร้อมพลีชีพด้วยหน้าจริง ฮ่าๆ

สรุปแล้วถามว่าออยล์ตัวนี้เป็นยังไงนัตตี้ชอบอยู่นะ ด้วยกลิ่นชาเขียวที่ชัดเจนและยังสามารถล้างรอบดวงตาได้โดยที่ไม่แสบตาใดๆ(แต่ระวังเข้าตาไว้ด้วยก็ดี) และเนื้อออยล์ไม่หนืดจนเกินไป

ข้อดี
กลิ่นหอมชาเขียว (อันนี้แล้วแต่คนชอบนะ)
ล้างได้สะอาดหมดจด แม้กระทั่งรอบดวงตาโดยไม่รู้สึกระคายเคือง
เนื้อออยล์ไม่หนืดหรือเหนอะหนะจนเกินไป
ราคาถูก

ข้อเสีย
เนื้อออยล์ไม่หนืดก็จริงแต่ก็ยังมีความลื่นอยู่มาก ต้องล้างน้ำหลายรอบกว่าจะหมด
มี Mineral Oil

สามารถหาซื้อได้ที่ร้าน Watson ทุกสาขา ขนาด 150 ml. ราคา 350 บาท
แต่นัตตี้ซื้อตอนโปรโมชั่นเหลือ 175 บาทเอง ^^